บทความ

จองหุ้น IPO ผ่าน mBanking ของธนาคารกรุงเทพ

รูปภาพ
จากการที่ช่วงนี้กระแสของหุ้น OR หรือ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก ค่อนข้างได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากๆ (ขนาดคนที่ไม่สนใจเรื่องการลงทุนยังพูดถึงเลย) ซึ่งถ้าเราติดตามหุ้นORอยู่ เราจะรู้ว่ามีสถาบันฯที่เปิดให้รับจองอยู่ 3 แห่ง นั้นก็คือ - ธนาคารกสิกรไทย - ธนาคารกรุงเทพ - ธนาคารกรุงไทย ในโพสก่อนหน้านั้นผมได้พูดถึงของธนาคารกสิกรไทยไปแล้ว ในโพสนี้ก็เลยจะมาแนะนำของธนาคารกรุงเทพกันบ้าง วิธีการก็มีดังต่อไปนี้ เข้าไปที่แอพ BualuangM กดที่ไอคอน "การลงทุน"  จากนั้นกดไปที่ " สร้างโปรไฟล์จองซื้อหุ้นกู้ " แอพจะเปลี่ยนมาเป็นหน้าตามภาพนี้ ให้เรากรอกข้อมูล เข้าไปให้ครบ แล้วกด>>> " ต่อไป " จากนั้นให้เราเลือกวิธีการรับหุ้นมีอยู่ 3 แบบ - รับเป็นใบหุ้นส่งมาตามที่อยู่ที่เราระบุไว้ในหน้าที่แล้ว - โอนเข้าพอร์ตหุ้นของเรา - โอนเข้าบัญชีผู้ออกหลักทรัพย์ สมาชิกผู้ฝากเลขที่600 ในที่นี้จะเลือกวิธีการ โอนเข้าพอร์ตหุ้นของเราเลยเพราะจะง่ายต่อการซื้อขายในตลาดหุ้น เมื่อเราเลือกให้โอนเข้าพอร์ตหุ้น เราก็จะต้องมาเลื

วิธีการจองซื้อหุ้น OR ทางออนไลน์ สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ์จากหุ้น PTT

รูปภาพ
ใครกำลังมองหาวิธีการจองซื้อ IPO หุ้น OR กันบ้างครับ?  วันนี้ผมเองก็มีโอกาสได้ไปหาข้อมูล ก็เลยอยากเอามาแชร์ให้อ่านกันครับ  การจองออนไลน์ ให้กดเข้าไปที่เว็บ  https://kasikornbank.com/kmyinvest - เลือกที่ "จองซื้อหลักทรัพย์" จากนั้นก็กดที่ >> ผู้ถือหุ้น ปตท.ที่มีสิทธิ์ได้รับการจัดสรรค์หุ้น จากนั้นกด ยอมรับเงื่อนไขและข้อกำหนดการให้บริการ ** สามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้ในเว็บของTSD  https://ivp.tsd.co.th/signin?lang=th   แล้วเลือกวิธีการชำระเงิน จะมีอยู่ 3 แบบ - ชำระผ่าน K plus - ชำระผ่าการโอนเงิน ATS/หักหลักทรัพย์ สำหรับลูกค้าของ KS (หักจากบัญชีหุ้นหรือบัญชีที่ผูกกับพอร์ต) - ชำระผ่าการจ่าย Bill Payment (ชำระบิล) ส่วนวิธีการในแต่ละรูปแบบนั้นสามารถเข้าไปดูตามลิ้งค์นี้เลยครับจะเป็นไฟล์ PDF ที่ บล.กสิกรไทยจัดทำขึ้น  https://www.kasikornsecurities.com/ksec/upload/ContentEditor/01_15_2021_110750782.pdf เมื่อเราเลือกวิธีการชำระเงินและทำตามขั้นตอนหมดแล้ว  การส่งมอบหุ้น จะมีอยู่3รูปแบบ 1)ฝากหุ้นไว้ในบัญชีหุ้นของเราเอง

ทำไมต้องหุ้นใน SET50

รูปภาพ
ในตลาดหุ้นไทยนั้นมีหุ้นอยู่มากมายให้เราเลือกซื้อ แต่ด้วยความที่มีอยู่มากมายนั้นเองมันจึงจะมีหุ้นที่ดี และไม่ดีปะปนกันไป ซึ่งถ้าเราเลือกถูกหุ้นก็ดีไปแต่ถ้าเราเลือกผิดตัวเมื่อไหร่ ก็มีโอกาสติดดอยแบบงงๆได้เช่นกัน สำหรับมือใหม่นั้นการที่จะมาเลือกลงทุนในหุ้นนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร ดังนั้น หุ้นใน SET50 จึงเกิดมาเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเลือกหุ้นลง แล้วทำไมต้องเป็นหุ้นในกลุ่ม SET50 ? คำตอบก็คือ - หุ้นในSET50 คือหุ้นที่มี Market Cap.หรือมูลค่าตามราคาตลาด ที่เยอะที่สุด 50 อันดับในตลาดหุ้นไทย - เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงเพราะหุ้นในกลุ่ม SET50 นักลงทุนจะซื้อขายกันเยอะ - พื้นฐานของหุ้นในกลุ่มเหล่านี้จะค่อนข้างดีกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ - เป็นหุ้นที่สถาบันกองทุนต่างๆหรือต่างชาติเลือกเข้ามาซื้อขายเป็นหลัก ที่กล่าวมานั้นคือสิ่งที่น่าสนใจที่ทำให้นักลงทุนที่เป็นมือใหม่สามารถมั่นใจได้ว่าหุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นที่ลดความเสี่ยงในการเลือกมาลงทุนได้ในระดับหนึ่งครับ แต่สิ่งที่กล่าวมานั้นก็ยังคงเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ เพราะยังไม่ใช่สิ่งที่สามารถคอนเฟิร์มได้ว่าถ้า

ดอยหุ้นเพราะอะไรกันบ้าง?

รูปภาพ
ผมพยามนึกถึงตอนที่หุ้นมีการปรับตัวขึ้นแล้วผมเกิดอยากได้มากๆ สุดท้ายผมตัดสินใจเคาะขวาไปในราคาสูงสุดของวันเพื่อหวังว่าราคาหุ้นน่าจะขยับขึ้นไปอีก แต่สุดท้ายราคาที่ผมถือก็กลายเป็น 52W High  ผมพยามพิจารณาว่าหุ้นที่ผมถือนั้นมันไม่ดีตรงไหน พื้นฐานก็ดี มีกำไรตลอด จ่ายปันผลก็5%ต่อปี แต่ลืมมองไปว่า P/E มันสูงไปแล้ว ลืมคิดไปว่า P/E ขนาดนี้ต้องรอให้บริษัทมีกำไรอีกกี่เท่า P/E ถึงจะต่ำลง ที่สำคัญลืมคิดไปด้วยว่าP/E มันลดได้จากทั้งกำไรที่เพิ่มขึ้นและราคาที่ลดลง ผมลองคิดกลับไปเมื่อตอนที่ผมซื้อหุ้นตัวนี้ทำไมผมถึงได้รีบ ทั้งที่ RSI มันก็เตือนอยู่ว่าซื้อมากไปแล้ว แล้วผมซื้อเพราะอะไร เพราะกลัวไม่ได้ซื้อ หรือกลัวว่ามันจะขึ้นไปโดยไม่มีเราแบบนี้ก็ได้หรอ  กลับมาคิดอีกครั้งนึงตอนที่มีหุ้นตัวนั้นอยู่ในพอร์ต -10%  - รู้งี้จะไม่ซื้อหุ้นตัวนี้เลยตอนนั้น - รู้งี้อ่านงบการเงินดีๆกว่านี้ก็คงดี - รู้งีไม่ซื้อแล้ว rsi อย่างสูง - และอีกหลายๆรู้งี้ สุดท้ายพอมีตังค์ก็เอามาถัวอี๊ก ตอนที่ราคามันเด้งใส่หน้าด้วย rsi มาทรงเดิมเลย สรุปคือบทเรียนที่ผลมามันไม่ทำให้ผมคิดได้หน่อยหรอ สุดท้าย ก็ยังดอยยยยย ระหว่างนั้นก็นั่ง

ติดหุ้น IPO เข้าใหม่ทำไงดี?

รูปภาพ
หุ้นตัวนี้น่าสนใจจังแต่จองIPO ไม่ได้ ไปซื้อหน้ากระดานเลยจะดีไหมนะ! มันต้องขึ้นไปชน Ceiling 4วันติดแน่ๆเลย อย่ากระนั้นเลยตั้ง ATO ไว้ตั้งแต่4ทุ่มวันนี้เลยให้รู้กันไปจะได้ไม่ได้! ผลลัพธ์คือได้หุ้นเป็นคนแรกๆเลย แต่ราคาดันเปิดสูงแต่ในระหว่างวันราคากับย่อลงมาทั้งวันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้เลยเอาไงดี? นี้คือปัญหาโลกแตกที่หลายๆคนน่าจะเคยเป็น บ้างคนติดหุ้นตั้งแต่วันแรกที่หุ้นเข้า จนต้องไปหาบทวิเคราะห์อนาคตของหุ้นนั้นๆมาบรรเทาเยียวยาจิตใจ แต่บอกไว้เลยนะครับหุ้นเข้าวันแรกอย่าไปหาบทวิเคราะห์มาอ่านเลยเพราะมันน่าจะแค่ช่วยเยียวยาจิตใจ แต่เรื่องจริงคือยังติดหุ้นอยู่นะ!  คำถามแล้วควรจัดการอย่างไรดีกับเหตุการณ์แบบนี้? สำหรับผมถ้ารู้ว่าผิดทางก็ขายตัดขาดทุนไปเลย ซึ่งแน่นอนว่าเจ็บ แต่แลกกับการนอนหลับสบายไปอีกหลายๆวันผมว่าคุ้มค่า และแม้ว่าผมจะขายออกไปแล้วราคามันเด้งใส่หน้าผมก็ไม่แคร์เพราะผมจะลบออกจาก favourite ทันทีที่ขาย ไว้ทำใจได้จะกลับมาดูใหม่ ซึ่งวิธีนี้คิดว่าหลายๆคนทำไม่ได้ใช่ไหมครับ ไม่เป็นไรเรามีวิธีที่2 คือก็ทนถือหุ้นนั้นๆไปก่อนแต่..ห้ามเพิ่มสัดส่วนของหุ้นตัวนี้เด็ดขาด ก็คือห้ามซื้

หุ้นขนาดเล็ก กับ หุ้นขนาดใหญ่ แบบไหนดี?

รูปภาพ
ระหว่างหุ้นขนาดเล็กๆ กับ หุ้นขนาดใหญ่ๆ หุ้นแบบไหนน่าสนใจกว่ากัน คำถามนี้ได้จากเพื่อนๆท่านนึงถามมา   ก่อนที่เราจะไปที่คำถามเราต้องรู้ก่อนว่าหุ้นขนาดเล็กและหุ้นขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นอย่างไร  หลายๆคนอาจยึดจากราคาหุ้นที่เกิดขึ้น เช่น มองว่าหุ้นราคา10บาทขึ้นไปเป็นหุ้นขนาดใหญ่ แล้วมองหุ้นต่ำกว่า5บาทลงมาว่าเป็นหุ้นขนาดเล็ก! แต่เดียวก่อนถ้าคุณมองแบบนี้แสดงว่าคุณมาผิดทางเอาซะแล้ว เพราะการมองว่าหุ้นตัวไหนใหญ่หรือเล็ก หลักๆเขาจะมองกันที่ Market Cap. หรือมูลค่าตามราคาตลาดนั้นแหละ แล้วไอ้เจ้า Market Cap. หรือมูลค่าตามราคาตลาดจะดูตรงไหน คำตอบคือ สามารถดูที่สรุปงบการเงินของหุ้นแต่ละบริษัทได้เลยจะอยู่บรรทัดล่างๆหน่อย หรือถ้าใครชำนาญเรื่องตัวเลขก็สามารถคำนวณเองได้แบบเรียลไทม์เลยโดยเอา จำนวนหุ้นทั้งหมดของหุ้นนั้นๆ x ราคาหุ้นล่าสุด ณ ตอนนั้น ก็จะได้ Market cap. แล้วนั้นเองครับ สำหรับหลักการโดยทั่วไปที่แยกขนานของหุ้นออกมา จะจำแนกตามนี้นะครับ 1) หุ้นขนาดเล็ก ( Small Cap.) คือหุ้นที่มี Market Cap. ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ลงไป เพราะนั้นหุ้นที่อยู่ใน MAI เป็นหุ้นขนาดเล็กหมดนะครับเพราะ

ระหว่างการดูกราฟ กับ การดูงบการเงิน อันไหนดีกว่ากัน?

รูปภาพ
สำหรับการลงทุนหุ้น คนที่ดูกราฟเทคนิคก็จะมองว่ากราฟเทคนิคนั้นดี คนที่ดูงบการเงินก็จะบอกว่างบการเงินคือตัวสะท้อนราคาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง   ในความเป็นจริงก็ไม่มีใครกล้าการันตีได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน เพราะทั้งกราฟเทคนิคและงบการเงินต่างก็มีข้อดีและเสียที่แตกต่างกันออกไป - อย่างกราฟเทคนิคจะทำให้ผู้ที่ลงทุนนั้นมองเห็นแค่ในมิติของอารมณ์การซื้อขายอย่างเดียว ในมุมของคุณภาพของหุ้นจะไม่มีทางรู้เลย แต่กราฟเทคนิคจะค่อนข้างไว้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ใช้กราฟสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว - ส่วนงบการเงินหรือพื้นฐาน ถึงแม้ว่าจะทำให้ผู้ลงทุนรู้ทั้งในมิติของคุณภาพของหุ้น หรืออารมณ์ของการลงทุนในช่วงนั้นๆ แล้ว แต่ก็ต้องแลกมากับการพลาดโอกาสในบางช่วงที่ดีๆ เพราะกว่าที่งบจะสะท้อนราคาออกมาก็จะใช้เวลาสักพักหรือแล้วแต่หุ้น ซึ่งในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นนักลงทุนจะไม่มีการซื้อหุ้นนั้นๆเข้ามาเลยเพราะคิดว่าราคายังไม่เหมาะสม ส่วนสำหรับตัวผมเองที่ดูทั้งกราฟและอ่านงบการเงินไปด้วย ผมถือว่าทั้ง 2 แบบนี้ถือว่ามีประโยชน์ทั้งคู่นะครับ เพราะว่าผมนั้นจะมีวิธีการเลือกหุ้นลงทุนจาก * การดูงบการเง