หุ้นขนาดเล็ก กับ หุ้นขนาดใหญ่ แบบไหนดี?


ระหว่างหุ้นขนาดเล็กๆ กับ หุ้นขนาดใหญ่ๆ หุ้นแบบไหนน่าสนใจกว่ากัน คำถามนี้ได้จากเพื่อนๆท่านนึงถามมา 

ก่อนที่เราจะไปที่คำถามเราต้องรู้ก่อนว่าหุ้นขนาดเล็กและหุ้นขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นอย่างไร 

หลายๆคนอาจยึดจากราคาหุ้นที่เกิดขึ้น เช่น มองว่าหุ้นราคา10บาทขึ้นไปเป็นหุ้นขนาดใหญ่ แล้วมองหุ้นต่ำกว่า5บาทลงมาว่าเป็นหุ้นขนาดเล็ก! แต่เดียวก่อนถ้าคุณมองแบบนี้แสดงว่าคุณมาผิดทางเอาซะแล้ว เพราะการมองว่าหุ้นตัวไหนใหญ่หรือเล็ก หลักๆเขาจะมองกันที่ Market Cap. หรือมูลค่าตามราคาตลาดนั้นแหละ แล้วไอ้เจ้า Market Cap. หรือมูลค่าตามราคาตลาดจะดูตรงไหน คำตอบคือ สามารถดูที่สรุปงบการเงินของหุ้นแต่ละบริษัทได้เลยจะอยู่บรรทัดล่างๆหน่อย หรือถ้าใครชำนาญเรื่องตัวเลขก็สามารถคำนวณเองได้แบบเรียลไทม์เลยโดยเอาจำนวนหุ้นทั้งหมดของหุ้นนั้นๆ x ราคาหุ้นล่าสุด ณ ตอนนั้น ก็จะได้ Market cap. แล้วนั้นเองครับ


สำหรับหลักการโดยทั่วไปที่แยกขนานของหุ้นออกมา จะจำแนกตามนี้นะครับ

1) หุ้นขนาดเล็ก ( Small Cap.) คือหุ้นที่มี Market Cap. ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ลงไป เพราะนั้นหุ้นที่อยู่ใน MAI เป็นหุ้นขนาดเล็กหมดนะครับเพราะ Market Cap.จะอยู่ประมาณ 50-300 ล้านบาท หุ้นกลุ่มเหล่านี้จะมีความคล่องตัวสูงเนื่องจากว่ามีขนาดที่เล็ก การเติบโตของกำไรจะค่อนข้างสูง จึงทำให้ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าหุ้นตัวใหญ่ๆ อย่างเช่น หุ้นขนาดเล็กทำกำไรได้ 20ล้านบาทในปีนี้ ปีหน้าเพิ่มขึ้นมาอีก5ล้านก็กลายเป็นว่ากำไรเติบโตขึ้นมาถึง 25% นี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นขนาดเล็กนั้นเติบโตได้เร็ว แต่ก็มากับความเสี่ยงที่สูงมากๆเช่นกัน เพราะขึ้นชื่อว่าหุ้นขนาดเล็กแล้วอะไรๆก็มักเกิดขึ้นได้ ทั้งความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงที่หุ้นมีข่าว หรือวอลุ่มซื้อขายที่น้อยในแต่ละวันในช่วงปกติ 

2) หุ้นขนาดกลาง ( Mid Cap.) คือหุ้นที่มี Market Cap. มากกว่า 10,000 แต่ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท เราจะเรียกว่าหุ้นขนาดกลาง หุ้นขนาดกลาง มักจะเป็นหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ดีพอๆกับหุ้นขนาดเล็ก แต่มองกันในแง่พื้นฐานค่อนข้างจะได้เปรียบกว่ามาก มีโอกาสที่จะโดนบริษัทใหญ่ๆเข้ามาซื้อกิจการพอสมควร เพราะด้วยความที่พื้นฐานของหุ้นขนาดกลางและความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก ก็เลยจะทำให้เป็นที่สนใจ แต่การเติบโตของกำไรอาจจะช้ากว่าหุ้นขนาดเล็กอยู่นิดหน่อยนะครับ แต่เป็นหุ้นที่ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร

3) หุ้นขนาดใหญ่ ( Large Cap.) คือหุ้นที่มี Market Cap. มากกว่า 50,000ล้านบาทขึ้นไป สำหรับหุ้นกลุ่มนี้ถือว่าเป็นหุ้นที่มั่นคงพอสมควร จากขนาดที่ใหญ่ การทำกำไรที่มากในแต่ละปี ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายตัวธุรกิจไปได้มากว่า เพียงแต่ว่าด้วยความที่ขนาดของบริษัทนั้นใหญ่การเติบโตของกำไรหรือราคาหุ้นก็จะเคลื่อนที่ได้ช้า อย่างเช่นกำไรต่อปี 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมา  10,005 ล้านบาท จะคิดเป็น  ซึ่งมันเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดเลข ดังนั้นราคาก็เลยมักจะขยับขึ้นได้ช่าครับ

แล้วหุ้นแบบไหนดี?

- ถ้าคนที่เข้ามาเก็งกำไร หุ้นขนาดเล็กก็น่าจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจเพราะการเติบโตของหุ้นขนาดเล็กจะค่อนข้างสูงและเร็ว เพียงแต่ว่าหุ้นขนาดเล็กก็มักจะมีความเสี่ยงที่สูงเอามากๆถ้าเผลอแปปเดียวผู้ถือหุ้นอาจจะกายเป็นขาดทุนก็ได้ 

- สำหรับคนที่เน้นการลงทุนยาวๆ หุ้นขนาดกลาง ขนาดใหญ่ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าหุ้นขนาดเล็ก เพราะเมื่อเทียบกันแล้วในระยะยาวหุ้นขนาดกลาง ขนาดใหญ่มักจะคอยๆเติบโตไปเลื่อยๆ ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กในระยะยาวราคาก็มักจะมีการปรับตัวลงมากกว่าขึ้น 

ดังนั้นการที่เราจะเลือกหุ้นเพื่อลงทุนเราก็ควรคำนึงถึงส่วนนี้เข้าไปประกอบด้วยจะดีมาก ส่วนเพื่อนๆที่ยังจำแนกขนาดหุ้นด้วยการมองจากราคาแบบที่กล่าวมาข้างต้นก็น่าจะพอเข้าใจแล้ว ซึ่งก็น่าจะทำให้เราเลือกหุ้นที่ดีๆในการลงทุนครั้งต่อๆไปได้ดียิ่งขึ้นครับ

เพิ่มเติม หุ้นที่อยู่ใน SET50 จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ส่วนหุ้นที่อยู่ใน SET100 จะมีทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่นะครับ 

ฝากเข้าไปติดตามทุกๆช่องทางไว้ด้วยนะครับรวมไปถึงบล็อกนี้ด้วยครับ ^^

เพจ มือใหม่เข้าใจหุ้น https://www.facebook.com/narikaamoney 
blockdit เพจ มุม https://www.blockdit.com/narikaa 
เพื่อนๆสามารถกดสนับสนุนผมได้ตามลิ้งค์นี้นะครับ https://www.youtube.com/channel/UC-2PvCjARBOTjuHgEmtm-6A/join
เพจ ขยะความคิด https://www.facebook.com/kadadplaow/

ความคิดเห็น

Unknown กล่าวว่า
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆคะ พอมาอ่านตรงนี้เข้าใจมากขี้นเลยคะ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

DCA หุ้นด้วยฟังก์ชั่นในแอพ Streaming

การซื้อเศษหุ้น ( Odd Lot )

ทำไมต้องหุ้นใน SET50